ทุกเมืองกำลังรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่นับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น “ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก” ประชาคมโลกต่างพยายามหาวิธีรับมือภายในระยะเวลาที่จำกัด มีการจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 หรือ COP26 ครั้งล่าสุดนี้ ที่สหราชอาณาจักรด้วย
ทางเราได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร. วิจิตรบุษบา มารมย์ หัวหน้าหน่วยวิจัยอนาคตและนโยบายเมือง แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิจัยที่ได้รับทุน The Newton Fund Institutional Links เจ้าของแนวคิดเมืองพลวัต (Resilient City) หรือเมืองที่ปรับตัวจากการเปลียนแปลงได้ มาสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเมืองและผู้คนในเมือง โดยเน้นว่าการจะแก้ปัญหาระดับโลกแบบนี้ จะมุ่งเน้นไปที่นโยบายอย่างเดียวเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้แล้ว ปัจจุบันนี้ ปัญหานี้เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ทำให้จำเป็นที่จะต้องมีการสร้างชุมชนนักปฏิบัติ โดยผสานองค์ความรู้เข้าสู่วิถีชีวิตชุมชน (Translate knowledge into action) เพื่อรับมือกับปัญหา
จากการพูดคุย มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ดร. วิจิตรบุษบา แนะนำว่าการจะเพิ่มความสามารถของเมืองในการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหา ควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
- Localise resilience – คนในเมืองต้องปรับตัวได้ด้วย ไม่ใช่ปรับแค่โครงสร้าง ต้องมีมาตรการแก้ปัญหาวิถีชีวิตชุมชน ตั้งแต่ระดับดับท้องถิ่น ทำผู้คนในชุมชนสามารถปรับตัวได้ทัน พร้อมรับผลการะทบจากการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- Co-benefits – พิจารณาว่าสิ่งที่เมืองกำลังจะปรับ จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนได้อย่างไร
- Socialise resilience – สิ่งนี้สำคัญมาก ดร. วิจิตรบุษบา ใช้คำว่า หากเรามีวิกฤติ แต่ไม่มี ‘Local Responsive Mechanism’ ผู้คนในชุมชนคาดการณ์ไม่ได้ ว่าปัญหาอะไรอาจจะเกิดบ้าง เพราะขาดการสื่อสารที่ดีพอ รวมถึงขาดความเข้าใจในวิถีชีวิตชุมชนและความไม่แน่นอน
- Adaptive law and regulations – ตัวบทกฏหมายควรมีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะเรื่องระบบนโยบายและการกำหนดผังเมือง
- Risk Assessment – สุดท้าย ต้องรู้จักประเมินความเสี่ยง สามารถฉายภาพความเสี่ยงของตัวเองในอนาคตออกมา เพื่อวางแผนรับมือความเสี่ยงนั้นได้